วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Slumdog Millionaire(2008): สลัมลูกหมา


 ...ผมเคยสงสัยว่าจริงๆ แล้วคนเรามีสิทธิ์ที่จะกำหนดชีวิตของตัวเองหรือไม่ ผมเคยเชื่อในเสรีภาพในการเลือกของตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะทำนั้นดีที่สุดแล้ว แต่เรากลับพบในภายหลังว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันจะดีที่สุด มันอาจจะล้มเหลวลงได้ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามาในถนนเส้นที่เราเลือกเดิน ด้วยเหตุนี้เองผมจึงเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต ทุกคนในโลกใบนี้หากไม่มีความเชื่อในสิ่งนี้เราจะหาเป้าหมายในชีวิตของเราไม่ได้ เพราะอย่างน้อยหากเราท้อในชะตากรรมของตัวเองแม้ว่าเราพยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว เราก็บอกกับตัวเองว่ามันคือพรหมลิขิต มันเป็นชะตากรรมของเราที่ไม่สามารถกำหนดให้มันเป็นไปอย่างที่ต้องการ หนังเรื่อง Slumdog Millionaire เป็นเรื่องราวที่ตอกย้ำความเชื่อในเรื่อง พรหมลิขิต (Destiny) ของผมอีกครั้ง...


...ในบรรดาภาพยนตร์ 5 เรื่องที่ได้เข้าชิง Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมมีโอกาสได้ดู เรื่องราวของตัวหนังไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเล่นเกมเศรษฐีที่เคยโด่งดังสมัยคุณไตรภพเป็นพิธีกร แต่เบื้องหลังคำตอบจากไอ้ลูกหมาจากย่านสลัมชื่อ จามาล ที่สามารถพิชิตทุกคำถามกลับกลายเป็นเรื่องราวที่ไม่คาดคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เขาพานพบมันมาค่อนชีวิต หนังเริ่มต้นด้วยคำถามว่าแบบปรนัยว่า จามาล มาลิค เหลือเพียงอีกคำถามเดียวที่เขาจะพิชิตเงินรางวัล 20 ล้านรูปี เขาทำได้อย่างไร A.เขาโกง B.เขาโชคดี C.เขาเป็นอัจฉริยะ หรือ D.มันถูกกำหนดไว้ หนังทิ้งให้เราค้นหาคำตอบและเฉลยในประโยคสุดท้ายว่า มันถูกกำหนดไว้ ความเชื่อทางศาสนาแทบทุกศาสนาเชื่อว่าจริงแล้วมนุษย์ไม่ได้มีเสรีภาพอย่างแท้จริง ทุกชีวิตบนโลกถูกกำหนดให้มีลิขิตที่แตกต่างกันไป เหมือนกับคำถามแบบปรนัยที่มันมีคำตอบที่แน่ชัดตั้งแต่เกิดว่า คนที่มาจากวรรณะใด ต้องมีชีวิตเยี่ยงวรรณะนั้น แฉกเช่นเดียวกับคนที่มาจากสลัมย่อมต้องมีชีวิตแบบลูกหมาข้างถนนเช่นนั้นหรือ...


...หลังจากนั้นหนังได้นำย้อนเรื่องราวของเด็กสลัม 3 คน จามาล ซาลิม และลาติกา ผ่านภาพในอดีตของจามาลก่อนที่เขาจะมาแข่งขันรายการเกมเศรษฐี อินเดียถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้น้อยมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกเนื่องจากในอดีตมีการแบ่งวรรณะ และในปัจจุบันวรรณะนั้นได้กลายเป็นชนชั้น ความมั่งคั่งจึงกระจุกอยู่ที่คนส่วนน้อยในประเทศ ผู้คนในเมืองใหญ่จำนวนมากยังคงยากจนอยู่ รวมถึงความเชื่อและศาสนาก็มีความหลากหลายด้วยเช่นกัน Slumdog Millionaire แสดงถึงความขัดแย้งทางความเชื่อ ในฉากหนึ่งที่สะเทือนใจผมมากกับประโยคที่จามาลบอกกับนายตำรวจว่า ผมตื่นขึ้นมาทุกเช้า แล้วภาวนาว่าผมไม่รู้คำตอบนั้น ...ถ้าไม่ใช่เพราะ พระราม และ อัลเลาะห์ ...แม่ผมคงยังมีชีวิตอยู่ ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่าง พราหมณ์-ฮินดู และอิสลาม ยังคงเป็นปัญหาในอินเดียที่แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐละเลยไม่เหลียวแล หรือเป็นเพียงเพราะพวกเขาอยู่ในสลัม...


...ในวัยเด็กของทั้งสามคนทำให้ผมนึกถึงเด็กขายพวงมาลัยเวลากลางคืนตามร้านอาหารในเชียงใหม่ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างใจแข็งไม่เคยซื้อของจากเด็กเหล่านั้น เพราะผมถือว่านั่นคือการสนับสนุนผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังให้กอบโกยประโยชน์จากความน่าสงสารของพวกเขา ผมบอกกับพวกเขาเสมอว่าให้กลับบ้านไปนอน เพราะพวกเขาทำให้ผมย้อนนึกถึงตัวเองในวัยเดียวกัน เวลาประมาณสองสามทุ่มเป็นเวลาที่พวกเราต้องทำการบ้าน จัดหนังสือเข้ากระเป๋าตามตารางเรียนในแต่ละวันแล้วเข้านอน แต่มันอาจมีความจำเป็นบางอย่างที่พวกเขาต้องใช้เวลานี้ทำมาหากิน สำหรับผมถ้าหากเราไม่สนับสนุนมันอาจจะลดจำนวนเด็กเหล่านั้นบ้างก็ยังดี เด็กบางคนถูกทำให้พิกลพิการเพื่อเรียกร้องความสงสาร หรือเพื่อเพิ่มมูลค่าเหมือนที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ ถ้าพวกเขาเลือกได้พวกเขาคงไม่อยากอยู่ในสภาพเดียวกับ เออร์วินด์ เด็กชายผู้ทำให้ จามาล รู้จัก เบนจามิน แฟรงคลิน ชายผู้มีรูปบนธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ พรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงกลับทำให้เขากลายเป็นคนพิการ ฉากที่ เออร์วินด์ สัมผัสหน้า จามาล แล้วบอกว่าจามาลโชคดี แต่เขาเองแหละที่โชคร้าย มันคือความแตกต่าง แสดงให้เห็นว่าคนบางคนมีโอกาสที่จะกำหนดชีวิตของตัวเอง แต่สำหรับบางคนทำได้เพียงยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง...


... ไม่มีใครในโลกนี้เลือกเกิดได้ ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตบนโลกนี้ ประสบการณ์เหมือนกับรอยจารึกที่มันจะประทับลงในผัสสะทั้ง 5 จามาล มาลิค เขาไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลอัจฉริยะ เพราะทุกคำถามมันมีคำตอบบนร่องรอยความหลังที่มันฝังอยู่ในความทรงจำ เฉกเช่นเดียวกับบาดแผลบนใบหน้าของ ลาติกา ที่เขาบรรจงจูบมันอย่างรักใคร่ในความเป็นเธอ รักใคร่ในทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของทั้งสองคน...


...พรหมลิขิตมักจะใช้ในเรื่องของความรัก เพลงรักมากมายมักจะพูดถึงคำนี้ เหมือนกับความรักที่ จามาล มอบให้ ลาติกา แม้ทั้งสองพลัดพรากกันถึงสองครั้งสองคราทั้งตอนที่ทั้งคู่ยังเด็ก และตอนเป็นวัยรุ่น แต่เพราะ จามาล ยึดมั่นในในรักแท้ที่เขาเชื่อว่ามันมีอยู่จริง เขาตามหาเธอจนพบ ผมสังเกตเห็นในใบปิดของหนังเรื่องนี้ มีคำถามเหมือนในเกมเศรษฐีว่า “What does it take to find a lost love?” A.Money B.Luck C.Smarts D.Destiny” แน่นอนคำตอบที่หนังเฉลยคือข้อ “D.Destiny” ลาติกาพบว่าแม้เธอจะมีเงินทองมากมายแต่ต้องแลกกับการทนอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รัก จามาลเองก็พบว่าโชคให้เขาได้เพียงเงินทอง คนฉลาดในการเอาตัวรอดอย่างซาลิมต้องจบชีวิตลงเพราะเลือกใช้ชีวิตแบบอาชญากร บทสรุปคือรักแท้ในโลกใบนี้มันถูกกำหนดไว้แล้ว เราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนขีดเขียนเอาไว้ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อในพระพรหมว่าเป็นผู้ลิขิต มุสลิมหรือคริสเตียนเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ชาวพุทธอย่างเราเชื่อเรื่องการทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน สรุปแล้วมันก็คือเรื่องเดียวกัน พลังของหนังเรื่องนี้ได้บอกกับเราว่าอย่าเพิ่งท้อแท้ในชะตากรรมที่เราอาจไม่ได้เป็นผู้กำหนด บางทีเราทำดีที่สุดแล้วแต่มันกลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้ อย่าไปโทษใครเลย มันคือพรหมลิขิตมันนอกเหนือการควบคุมของเรา แต่อย่าท้อถอยให้ยอมรับในผลลัพธ์ของมัน แล้วพยายามใหม่ ขอเพียงเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่กำลังจะทำและทำให้ดีที่สุด อาจจะมีสักวันหนึ่งที่มันจะเป็นวันของเราเหมือนกับวันที่ ไอ้สลัมลูกหมาชื่อ จามาล บอกกับ ลาติกา ว่า มันคือพรหมลิขิตของเรา...


-อั๋นน้อย-

The Dark Knight (2008): แสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์



...ในบรรดาหนัง Superhero ทั้งหลายเห็นจะมี Batman เท่านั้นที่ไม่ได้มีพลังพิเศษจากฟากฟ้าและใกล้เคียงมนุษย์ที่สุด Christopher Nolan ทำให้หนังแนวนี้แตกต่างไปจาก Superhero ทั่วไปที่ดูสนุกมาก เดาทางไม่ถูก และให้ความหวังกับมนุษย์ทุกคน ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรู้สึกหลังจากดูหนังเรื่อง “No Country for Old Men” กับเรื่องนี้ หนังของพี่น้อง Coen ทำให้หดหู่และหมดหวังที่ความดีงามจะตามทันความชั่วร้ายแต่ “The Dark Knight” ของตระกูล Nolan ให้ความหวังเราว่าความดีงามมันยังหลงเหลืออยู่แม้มันจะเป็นเหมือนแสงที่รำไรที่ปลายอุโมงค์ ปรัชญาจีนมีนักปราชญ์จีนสองสายที่ให้คำนิยามเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ว่าแท้จริงแล้วจิตใจของมนุษย์ดีงามหรือชั่วร้าย เม่งจื๊อกล่าวว่าธรรมชาติจิตสันดานของมนุษย์นั้นดีงามความชั่วที่มาเปื้อนจิตใจที่บริสุทธิ์นั้นมันเกิดจากสภาพแวดล้อมต่างๆ  แต่มีอีกท่านหนึ่งคือซุ่งจื๊อที่เห็นตรงกันข้ามว่าธรรมชาติจิตสันดานของมนุษย์นั้นชั่วร้ายความดีงามนั้นมนุษย์มาเรียนรู้ที่หลัง แต่สำหรับผมแล้วผมไม่ทราบว่าความจริงแล้วข้อคิดเห็นไหนกันแน่ที่ถูกต้อง แต่ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีแนวโน้มที่จะชั่วร้ายเพราะว่าเรามีความรู้สึกขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับความรุนแรงของสถานการณ์นั้นๆ ได้มากได้น้อยเพียงไร...



หลังจาก Batman Begin ในภาคแรก และ The Dark Knight ในภาคนี้ Bruce Wayne ยังคงยึดมั่นที่จะกวาดล้างอาชญากรให้สิ้นซากไปจาก Gotham City โดยการช่วยเหลือของหมวด Gordon และอัยการคนใหม่ของเมืองนี้ชื่อ Harvey Dent ในตอนแรกเหมือนการกวาดล้างจะประสบผลสำเร็จ แต่การ  ปรากฎตัวของ The Joker ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป อาชกรไร้หัวใจผู้มีความรักสนุกในการทำลายล้างโดยไม่เห็นแก่สิ่งใดๆ นอกจากความสะใจ นอกจากนั้น Batmanยังต้องเจอกับเรื่องรักสามเศร้าระหว่างเขา Rachel และ Dent ศัตรูที่ Batman ต้องต่อกรด้วยในภาคนี้ไม่ธรรมดาเลยเพราะมันเป็นคนชั่วที่ฉลาดล้ำ และสามารถดึงด้านมืดของคนให้ปรากฎสุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าทั้งคู่เสมอกัน เพราะว่าบนโลกใบนี้มันมีทั้งขาวกับดำ แม้ว่าคนหนึ่งเป็นตัวแทนด้านมืด อีกคนเป็นตัวแทนด้านสว่าง แต่สุดท้ายแล้วในโลกมันก็ต้องมีทั้งขาวและดำ...


...Superhero แทบทุกเรื่องจะต้องมีพลังพิเศษที่เหนือธรรมชาติสามารถต่อกรกับเหล่าร้ายที่มีพลังเหนือมนุษย์เช่นกัน และผลลัพธ์สุดท้ายส่วนใหญ่จะชนะเหล่าร้ายพร้อมกับได้รับการยอมรับจากผู้คนแต่สำหรับ Batman ฉบับ Christopher Nolan คือคนๆหนึ่งที่พยายามใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เพื่อต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายที่เกิดจากมนุษย์ ส่วน The Joker ในเรื่องก็ไม่ได้มีพลังพิเศษใดๆนอกจากการใช้สติปัญญาในการปลุกเร้าด้านมืดของคนจนสามารถเปลี่ยนคนจากคนที่เป็นแสงสว่างให้กับผู้คนเมือง Gotham ให้กลายเป็นอาชกรได้เพียงข้ามคืน The Joker สามารถดึงปิศาจในใจมนุษย์ปุถุชนทั่วไปให้ปรากฎรูปของ ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น อารมณ์เหล่านี้แสดงออกถึงความอ่อนแอของมนุษย์และทำให้มนุษย์พ่ายแพ้ต่อปิศาจผลลัพท์สุดท้าย Batman กลับเป็นผู้รับผิดและถูกสาปแช่งจากผู้คน

...ตลอดเวลาที่ผมครุ่นคิดหลังจากดูหนังเรื่องนี้ นี่เป็นความรู้สึกจริงๆ หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบหนังเรื่องนี้จบ ผมไม่ได้เจตนาที่จะหลบหลู่ศรัทธาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไรให้มันมีมิติที่สัมผัสได้ เพียงแค่มันมีความรู้สึกแว่บหนึ่งเข้ามาในหัวสมองและใช้เวลาตรึกตรองแล้วมันน่าจะเป็นไปได้ว่า Superhero ที่แท้จริง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเสียสละ (Sacrifice) เสียสละเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ยอมรับบาปที่มนุษย์ก่อแต่เพียงผู้เดียว และ Batman ก็เช่นกันเขายอมรับผิดที่มนุษย์คนหนึ่งซึ่งถูกด้านมืดเข้าครอบงำจนถลำลึกเพื่อให้มนุษย์ทีเหลืออยู่ยังคงศรัทธาและเห็นคุณค่าของความดี การแบกรับภาระนี้มันคล้ายๆกับพระเยซูที่ขอไถ่บาปให้กับมนุษย์ที่หลงผิด มุมมองของ Superhero ใน The Dark Knight จึงแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกันมันอาจจะจริงจังจนบางคนที่เคยยึดติดภาพมนุษย์จอมพลังอาจจะพาลหมั่นใส้ Bruce Wayne มหาเศรษฐีหนุ่มที่เพียบพร้อม อยู่เฉยๆ ก็สบายไปทั้งชาติแล้วมันจะมาเป็น Batman ทำไม?...


ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Christopher Nolan จึงเป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิจารณ์ทั่วโลก ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กำกับที่เป็นขวัญใจคอหนัง เพราะหนังของเขาแทบทุกเรื่องเป็นหนังที่ดูสนุกตื่นเต้นเกินขาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทุกๆเรื่องของเขาไม่ว่าจะเป็นหนังแจ้งเกิดเรื่อง Memento จนกระทั่งถึง The Dark Knight มักจะเล่นกับสิ่งที่เห็นกับความจริงเบื้องหลัง สิ่งที่ปรากฎตอนเริ่มต้นของหนังไม่สามารถบอกความจริงเบื้องหลังของเหตุการณ์ต่างๆได้เลยจนกระทั่งเราได้ดูหนังของเขาจนจบ(เคยโดนมาหลายดอกแล้วครับทั้ง Memento, The Prestige) แม้กระทั่งในเรื่อง The Dark Knight เขาทำให้ตัวละครทุกตัวในหนัง (ยกเว้น The Joker) เหมือนมนุษย์มากที่สุด มนุษย์ที่มีทั้งด้านมืดและสว่างพร้อมที่เป็นด้านใดด้านหนึ่งได้ทันที ความเป็นปัจเจกที่เรามักจะได้เห็นในหนังของเขาและไม่เคยทำให้ผิดหวัง...

...มีหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ที่แสดงถึง ความเป็นมนุษย์ (Humanity)” สันดานของคนที่มีทั้งดีงามและชั่วร้ายเหมือนท่านเม่งจื้อและท่านซุ่งจื้อได้กล่าวไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เหนือสิ่งอื่นใดหนังเรื่องนี้มันกลับให้ความหวังว่าความดีมันยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกคน ถ้าหากความมืดคือความชั่ว และแสงสว่างคือความดี อัศวินแห่งรัตติกาล คือ แสงสว่างเดียวของชาวเมือง Gotham City แม้ว่าแสงนั้นจำต้องส่องสว่างรำไรบนปลายอุโมงค์ที่มืดมิด...



-อั๋นน้อย-