วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

The Dark Knight (2008): แสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์



...ในบรรดาหนัง Superhero ทั้งหลายเห็นจะมี Batman เท่านั้นที่ไม่ได้มีพลังพิเศษจากฟากฟ้าและใกล้เคียงมนุษย์ที่สุด Christopher Nolan ทำให้หนังแนวนี้แตกต่างไปจาก Superhero ทั่วไปที่ดูสนุกมาก เดาทางไม่ถูก และให้ความหวังกับมนุษย์ทุกคน ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรู้สึกหลังจากดูหนังเรื่อง “No Country for Old Men” กับเรื่องนี้ หนังของพี่น้อง Coen ทำให้หดหู่และหมดหวังที่ความดีงามจะตามทันความชั่วร้ายแต่ “The Dark Knight” ของตระกูล Nolan ให้ความหวังเราว่าความดีงามมันยังหลงเหลืออยู่แม้มันจะเป็นเหมือนแสงที่รำไรที่ปลายอุโมงค์ ปรัชญาจีนมีนักปราชญ์จีนสองสายที่ให้คำนิยามเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ว่าแท้จริงแล้วจิตใจของมนุษย์ดีงามหรือชั่วร้าย เม่งจื๊อกล่าวว่าธรรมชาติจิตสันดานของมนุษย์นั้นดีงามความชั่วที่มาเปื้อนจิตใจที่บริสุทธิ์นั้นมันเกิดจากสภาพแวดล้อมต่างๆ  แต่มีอีกท่านหนึ่งคือซุ่งจื๊อที่เห็นตรงกันข้ามว่าธรรมชาติจิตสันดานของมนุษย์นั้นชั่วร้ายความดีงามนั้นมนุษย์มาเรียนรู้ที่หลัง แต่สำหรับผมแล้วผมไม่ทราบว่าความจริงแล้วข้อคิดเห็นไหนกันแน่ที่ถูกต้อง แต่ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีแนวโน้มที่จะชั่วร้ายเพราะว่าเรามีความรู้สึกขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับความรุนแรงของสถานการณ์นั้นๆ ได้มากได้น้อยเพียงไร...



หลังจาก Batman Begin ในภาคแรก และ The Dark Knight ในภาคนี้ Bruce Wayne ยังคงยึดมั่นที่จะกวาดล้างอาชญากรให้สิ้นซากไปจาก Gotham City โดยการช่วยเหลือของหมวด Gordon และอัยการคนใหม่ของเมืองนี้ชื่อ Harvey Dent ในตอนแรกเหมือนการกวาดล้างจะประสบผลสำเร็จ แต่การ  ปรากฎตัวของ The Joker ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป อาชกรไร้หัวใจผู้มีความรักสนุกในการทำลายล้างโดยไม่เห็นแก่สิ่งใดๆ นอกจากความสะใจ นอกจากนั้น Batmanยังต้องเจอกับเรื่องรักสามเศร้าระหว่างเขา Rachel และ Dent ศัตรูที่ Batman ต้องต่อกรด้วยในภาคนี้ไม่ธรรมดาเลยเพราะมันเป็นคนชั่วที่ฉลาดล้ำ และสามารถดึงด้านมืดของคนให้ปรากฎสุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าทั้งคู่เสมอกัน เพราะว่าบนโลกใบนี้มันมีทั้งขาวกับดำ แม้ว่าคนหนึ่งเป็นตัวแทนด้านมืด อีกคนเป็นตัวแทนด้านสว่าง แต่สุดท้ายแล้วในโลกมันก็ต้องมีทั้งขาวและดำ...


...Superhero แทบทุกเรื่องจะต้องมีพลังพิเศษที่เหนือธรรมชาติสามารถต่อกรกับเหล่าร้ายที่มีพลังเหนือมนุษย์เช่นกัน และผลลัพธ์สุดท้ายส่วนใหญ่จะชนะเหล่าร้ายพร้อมกับได้รับการยอมรับจากผู้คนแต่สำหรับ Batman ฉบับ Christopher Nolan คือคนๆหนึ่งที่พยายามใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เพื่อต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายที่เกิดจากมนุษย์ ส่วน The Joker ในเรื่องก็ไม่ได้มีพลังพิเศษใดๆนอกจากการใช้สติปัญญาในการปลุกเร้าด้านมืดของคนจนสามารถเปลี่ยนคนจากคนที่เป็นแสงสว่างให้กับผู้คนเมือง Gotham ให้กลายเป็นอาชกรได้เพียงข้ามคืน The Joker สามารถดึงปิศาจในใจมนุษย์ปุถุชนทั่วไปให้ปรากฎรูปของ ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น อารมณ์เหล่านี้แสดงออกถึงความอ่อนแอของมนุษย์และทำให้มนุษย์พ่ายแพ้ต่อปิศาจผลลัพท์สุดท้าย Batman กลับเป็นผู้รับผิดและถูกสาปแช่งจากผู้คน

...ตลอดเวลาที่ผมครุ่นคิดหลังจากดูหนังเรื่องนี้ นี่เป็นความรู้สึกจริงๆ หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบหนังเรื่องนี้จบ ผมไม่ได้เจตนาที่จะหลบหลู่ศรัทธาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไรให้มันมีมิติที่สัมผัสได้ เพียงแค่มันมีความรู้สึกแว่บหนึ่งเข้ามาในหัวสมองและใช้เวลาตรึกตรองแล้วมันน่าจะเป็นไปได้ว่า Superhero ที่แท้จริง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเสียสละ (Sacrifice) เสียสละเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ยอมรับบาปที่มนุษย์ก่อแต่เพียงผู้เดียว และ Batman ก็เช่นกันเขายอมรับผิดที่มนุษย์คนหนึ่งซึ่งถูกด้านมืดเข้าครอบงำจนถลำลึกเพื่อให้มนุษย์ทีเหลืออยู่ยังคงศรัทธาและเห็นคุณค่าของความดี การแบกรับภาระนี้มันคล้ายๆกับพระเยซูที่ขอไถ่บาปให้กับมนุษย์ที่หลงผิด มุมมองของ Superhero ใน The Dark Knight จึงแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกันมันอาจจะจริงจังจนบางคนที่เคยยึดติดภาพมนุษย์จอมพลังอาจจะพาลหมั่นใส้ Bruce Wayne มหาเศรษฐีหนุ่มที่เพียบพร้อม อยู่เฉยๆ ก็สบายไปทั้งชาติแล้วมันจะมาเป็น Batman ทำไม?...


ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Christopher Nolan จึงเป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิจารณ์ทั่วโลก ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กำกับที่เป็นขวัญใจคอหนัง เพราะหนังของเขาแทบทุกเรื่องเป็นหนังที่ดูสนุกตื่นเต้นเกินขาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทุกๆเรื่องของเขาไม่ว่าจะเป็นหนังแจ้งเกิดเรื่อง Memento จนกระทั่งถึง The Dark Knight มักจะเล่นกับสิ่งที่เห็นกับความจริงเบื้องหลัง สิ่งที่ปรากฎตอนเริ่มต้นของหนังไม่สามารถบอกความจริงเบื้องหลังของเหตุการณ์ต่างๆได้เลยจนกระทั่งเราได้ดูหนังของเขาจนจบ(เคยโดนมาหลายดอกแล้วครับทั้ง Memento, The Prestige) แม้กระทั่งในเรื่อง The Dark Knight เขาทำให้ตัวละครทุกตัวในหนัง (ยกเว้น The Joker) เหมือนมนุษย์มากที่สุด มนุษย์ที่มีทั้งด้านมืดและสว่างพร้อมที่เป็นด้านใดด้านหนึ่งได้ทันที ความเป็นปัจเจกที่เรามักจะได้เห็นในหนังของเขาและไม่เคยทำให้ผิดหวัง...

...มีหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ที่แสดงถึง ความเป็นมนุษย์ (Humanity)” สันดานของคนที่มีทั้งดีงามและชั่วร้ายเหมือนท่านเม่งจื้อและท่านซุ่งจื้อได้กล่าวไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เหนือสิ่งอื่นใดหนังเรื่องนี้มันกลับให้ความหวังว่าความดีมันยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกคน ถ้าหากความมืดคือความชั่ว และแสงสว่างคือความดี อัศวินแห่งรัตติกาล คือ แสงสว่างเดียวของชาวเมือง Gotham City แม้ว่าแสงนั้นจำต้องส่องสว่างรำไรบนปลายอุโมงค์ที่มืดมิด...



-อั๋นน้อย-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น